แมนฯซิตี้ จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ชิงความได้เปรียบในรอบรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เอาไว้ได้สำเร็จ หลังจากเปิดเอติฮัต สเตเดี้ยมเบียดชนะ เรอัล มาดริด จ่าฝูงลา ลีกาสเปนไปสุดมันส์ 4 – 3 ในรอบตัดเชือกนัดแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 26 เมษายน 2022 แต่ว่าเรือใบสีฟ้าก็ยังคงประมาทไม่ได้เพราะว่านัดสองต้องออกไปเยือนราชันชุดขาวที่ซานติอาโก เบร์นาบิว ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2022 ซึ่งทางชุดขาวสร้างปาฏิหาริย์พลิกกลับมาเข้ารอบด้วยการโค่นทั้งเชลซ๊ และเปแอสเชมาแล้ว
เปิดฉากครึ่งแรกไปได้เพียงนาทีกว่า ๆ เท่านั้น เรือใบสีฟ้าก็ได้ประตูปลดล็อกคลายความกดดันไปแบบสายฟ้าแลบ โดยริยาด มาห์เรซลากตัดจากทางด้านขวามาหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนที่สตาร์ทีมชาติแอลจีเรียจะบรรจงเปิดด้วยซ้ายไปตรงบริเวณจุดโทษ แล้วเควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพทีมชาติเบลเยี่ยม สอดเข้ามาพุ่งโหม่งเข้าไปตุงตาข่าย 1 – 0
เพียงไม่กี่นาทีแมนเชสเตอร์ ซิตี้นำไป 2 ลูก
เรือใบสีฟ้า แล่นฉิวหนีห่างออกไปเป็น 2 – 0 เมื่อฟิล โฟเด้นพาบอลเลื้อยไปทางด้านซ้ายจ่ายบอลเร็วให้เดอ บรอยน์โยนเข้าไปในเขตโทษให้กาเบรียล เชซุสชิงจังหวะถึงบอลก่อนดาวิด อลาบา ดาวเตะสารพัดประโยชน์ทีมชาติออสเตรีย แล้วจับบอลหนึ่งจังหวะพร้อมหมุนตัว 360 องศามาซัดเข้าไปตุงตาข่ายในนาทีที่ 11
แมนฯซิตี้น่าจะนำห่างอย่างขาดลอย 3 – 0 ในนาทีที่ 26 เมื่อแนวรับเรอัล มาดริดพลาดโดนเดอ บรอยน์ตัดบอลไปได้ ก่อนที่แบร์นาร์โด้ ซิลวา ปีกลมกรดทีมชาติโปรตุเกส จะแทงบอลไปให้มาห์เรซหลุดกับดักล้ำหน้า ซึ่งมีฟิล โฟเด้น ดาวโรจน์ทีมชาติอังกฤษ เติมเกมตามเข้าไปในเขตโทษด้านซ้ายคนเดียวโล่ง ๆ แต่มาห์เรซเลือกที่จะจบสกอร์เองด้วยการซัดมุมแคบเข้าข้างตาข่ายเสาแรก และจังหวะนี้ทำให้เป๊ป กวาร์ดิโอล่าถึงกับหัวร้อนโวยใส่ลูกทีมเลยทีเดียว
ราชันชุดขาวกลับเข้าสู่เกมจนได้ในนาทีที่ 33 จากจังหวะที่เรือใบสีฟ้าเสียบอลจากกลางสนาม แล้วแฟร์กล็องด์ เมนดี้เปิดบอลโค้งไปหน้าประตูให้คาริม เบนเซม่า สิงห์เฒ่าทีมชาติฝรั่งเศส วิ่งมาซัดตามน้ำบอลไปแฉลบโอเล็กซานเดอร์ ชินเขนโก้เข้าไปตุงตาข่ายไล่มาเป็น 1 – 2
เปิดฉากครึ่งหลังไปได้เพียงแค่นาทีที่ 3 เรือใบสีฟ้าพลาดโอกาสทองฝังเพชรที่จะได้เม็ดสามไปอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยมาห์เรซจิ้มบอลหนีเอแดร์ มิลิเตาหลุดเดี่ยวเข้าไปในเขตโทษด้านขวาแล้วบรรจงปั่นด้วยซ้ายบอลผ่านมือติโบต์ กูร์กตัวส์ จอมหนึบมือหนึ่งทีมชาติเบลเยี่ยม ไปได้แล้ว แต่ดันไปชนเสาไกลกระดอนมาเข้าทางโฟเด้นได้ซ้ำเผาขนไปติดดานี คาบาร์ฆาลที่ยืนคุมเส้นเคลียร์ทิ้งออกมาได้ราวปาฏิหาริย์
อย่างไรก็ดีเรือใบสีฟ้าก็มาได้ลูกสามในเกมนี้พร้อมหนีห่างออกไปเป็น 3 – 1 จนได้ในนาทีที่ 53 จากจังหวะที่ตัดบอลได้จากทางด้านขวา ก่อนที่แฟร์นานดินโญ่ มิดฟิลด์จอมเก๋าชาวบราซิล ซึ่งถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในเกมนี้ตั้งแต่ครึ่งแรก จะเติมเกมรุกขึ้นมาพร้อมกับครอสบอลไปหน้าปากประตูให้โฟเด้นหนีตัวประกบโขกเข้าไปตุงตาข่าย
แต่แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเอติฮัด สเตเดี้ยมก็ได้เฮกันไปได้เพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้นก็ต้องกลับมาเครียดกันอีกครั้ง หลังจากเรอัล มาดริดไล่บี้มาเป็น 2 – 3 จากการโชว์สเต็ปเทพของวินิซิอุส จูเนียร์ ดาวเตะดาวโรจน์ทีมชาติบราซิล ปล่อยบอลลอดขาแฟร์นานดินโญ่ ก่อนที่จะพลิกควบบอลลากเดี่ยวจากครึ่งสนามเข้าไปในเขตโทษด้านซ้ายซัดบอลเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างคบกริบเลยทีเดียว
เรือใบสีฟ้าไขก๊อกสองผนึกกำลังร่วมกันบวกสกอร์เพิ่มเป็น 4 – 2 จากจังหวะที่ชินเชนโก้โดนขวางล้มลงหน้าเขตโทษ แต่ผู้ตัดสินให้เป็นจังหวะได้เปรียบ ก่อนที่ซิลวาจะหลุดเข้าไปในเขตโทษด้านซ้ายซัดยัดสามเหลี่ยมเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบขาดในนาทีที่ 74
ก่อนหมดเวลา 7 นาทีเรือใบสีฟ้ามาเสียจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลในเขตโทษของอายเมริค ลาปอร์กต์ ก่อนที่เบนเซม่าจะโชว์ความเหนือชั้นรับหน้าที่สังหารด้วยการชิพบอลเข้าไปกลางประตูอย่างเยือกเย็นให้ราชันชุดขาวไล่บี้มาเป็น 3-4 ซึ่งนับเป็นลูกที่สองของดาวยิงจอมเก๋าทีมชาติฝรั่งเศส รวมทั้งยังผงาดขึ้นนำดาวซัลโวยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ที่ 14 เม็ดอีกด้วย
รายชื่อผู้เล่นตัวจริงที่ลงสนาม:
แมนฯซิตี้ (4-3-3): เอแดร์สัน โมราเอส, จอห์น สโตนส์ (แฟร์นันดินโญ่ นาทีที่ 36), รูเบน ดิอาส, อายเมริค ลาปอร์กต์, โอเล็กซานเดอร์ ชินเชนโก้, เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้, แบร์นาโด ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ, กาเบรียล เชซุส (ราฮีม สเตอร์ลิง นาทีที่ 83), ฟิล โฟเด้น
ผู้จัดการทีม: เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
เรอัล มาดริด (4-3-3): ติโบต์ กูร์กตัวส์, ดานี คาร์บาฆาล, เอแดร์ มิลิเตา, ดาวิด อลาบา (นาโช่ แฟร์นานเดซ นาทีที่ 46), แฟร์กล็องด์ เมนดี้, โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช (ดานี่ เซบายอส นาทีที่ 79), เฟเดริโก้ วัลล์เวเด้, โรดรีโก้ (เอดูอาร์โด้ คามาวินก้า นาทีที่ 70), วินิซิอุส จูเนียร์ (มาร์โก อาเซนซิโอ้ นาทีที่ 88), คาริม เบนเซม่า
ผู้จัดการทีม: คาร์โล อันเชล็อตติ
ผู้ตัดสิน: อิสต์วาน โควิชส์ โรมาเนีย)

